แนะนำแหล่งท่องเที่ยวไทย ที่เที่ยวไทย ร่วมส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย ด้วยการเที่ยวเมืองไทย โดยรวบรวมข้อมูลและสถานที่ท่องเที่ยวประเทศไทย ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ สำหรับคนรักการท่องเที่ยวไทย

ท่องเที่ยวไทย

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

พระพุทธรูปแกะสลักเขาชีจรรย์

พระพุทธรูปแกะสลักเขาชีจรรย์
พระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาเขาชีจรรย์ มีชื่อว่า "พระพุทธมหาวชิรอุตตโมภาสศาสดา" ตั้งอยู่ที่ ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยเลียนแบบพระพุทธนวราชบพิตรศิลปะสุโขทัยผสมล้านนา แกะสลักด้วยแสงเลเซอร์บนหน้าผาของเขาชีจรรย์ มีความสูง 130 เมตร หน้าตักกว้าง 70 เมตร ภายในพระอุระบรรจุพระรัตนะบรมสารีริกธาตุ

สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2539 เพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวโรกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ใช้เงินค่าจัดสร้างทั้งสิ้นประมาณ 161.7 ล้านบาท

บริเวณโดยรอบตกแต่งเป็นสวนพักผ่อนหย่อนใจสวยงาม บริหารงานโดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและจังหวัดชลบุรี และดูแลบำรุงรักษาโดยหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือ

ขั้นตอนการสร้าง
การจัดสร้างพระพุทธรูปแกะสลักแบ่งงานเป็น 2 ส่วนคือส่วนที่หนึ่ง การก่อสร้างพระพุทธรูปหน้าผาเขาชีจรรย์ และส่วนที่สองคือการตกแต่งภูมิทัศน์รอบองค์พระพุทธรูปแกะสลักหน้าผา เขาชีจรรย์

การก่อสร้างสถาบันเทคโนโลยี่แห่งเอเซีย (เอ.ไอ.ที) เป็นผู้ดำเนินการกลั่นกรองบริษัทเอกชนที่เหมาะสมในการก่อสร้างซึ่ง ดร.วิบูลย์ แสงวีระพันธ์ศิริ อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์ ออกแบบการปรับแต่งผิวหน้า นาย กนก บุญโพธิ์แก้ว รองอธิบดีกรมศิลปากร เป็นผู้ออกแบบองค์พระ และในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ 2538 นายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ว่าจ้างบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล บลาสเตอร์ เป็นผู้ทำการก่อสร้างในราคา 43,305,800 บาท

งานระยะแรก เริ่มจากการสำรวจเพื่อการปรับแต่งผิวหน้าผาและเพื่อกำหนดความลึกของลายเส้นขององค์พระจากนั้นจึงระเบิดปรับเกลา และปิดรอยแตกร้าวด้วยวัตถุชนิดเดียวกับหน้าผา

จากนั้นงานระยะที่สอง ทำการสแกนภาพต้นแบบของพระพุทธรูปไว้ในคอมพิวเตอร์แล้วบันทึกโปรแกรมส่งไปยังสแกนเนอร์ เพื่อควบคุมการยิงเลเซอร์เพื่อวาดภาพบนเขา ซึ่งการฉายแสงวาดภาพบนเขาต้องทำในเวลากลางคืนเพื่อ การมองเห็นที่ชัดเจนให้คนงานโรยตัวด้วยเชือกลงมาจากยอดเขา แล้วใช้สีฝุ่นวาดแต้มเป็นจุดตามที่แสงเลเซอร์กำหนดไว้

การก่อสร้างเป็นไปอย่างยากลำบากเนื่องจาก ผิวหน้าผามีการแตกและช้ำมาก และฝนก็ยังได้ตกลงมาทำให้การทำงานมีความเสี่ยงมากขึ้น แต่ในที่สุดก็สามารถเสร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี และในวันที่ 31 กรกฎาคม 2539 มีการประกอบพิธีน้อมเกล้าถวายพระพุทธรูปแกะสลักบนหน้าผาเขาชีจรรย์ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานมหากรุณาธิคุณเสด็จฯไปทรงประกอบพิธีเบิกพระเนตร และบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่พระอุระของพระพุทธรูป เพื่อให้เกิดเป็นสิริมงคลสืบไป

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เรือหลวงจักรีนฤเบศร

เรือหลวงจักรีนฤเบศร 
ในปี พ.ศ. 2532 เกิดพายุไต้ฝุ่นเกย์ในอ่าวไทยบริเวณจังหวัดชุมพร กองทัพเรือซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล ได้ใช้เรือและอากาศยาน ในการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่พบอุปสรรคคือเรือขนาดใหญ่ที่สุดที่กองทัพเรือมีอยู่ขณะนั้น ไม่สามารถทนสภาพทะเลได้ ทำให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยกระทำได้ด้วยความยากลำบาก

การมีเรือขนาดใหญ่พร้อมอุปกรณ์ทันสมัยจะสามารถใช้ในการค้นหา และให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเลได้อย่างรวดเร็วและทันการ และหากว่ามีเฮลิคอปเตอร์ประจำการบนเรือจะช่วยขยายพื้นที่ในการลาดตระเวน และระยะเวลาในการปฏิบัติการในทะเลได้เป็นเวลานานและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น กองทัพเรือจึงได้มีแนวความคิด ในการสร้างเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ เพื่อให้สามารถบรรลุภารกิจตามความมุ่งหมาย

จนกระทั่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อ 17 มีนาคม พ.ศ. 2535 อนุมัติให้กองทัพเรือว่าจ้างสร้างเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ จากบริษัทบาซาน เมืองเฟรรอล ประเทศสเปน ในวงเงินประมาณ 7,100 ล้านบาท และกองทัพเรือได้ลงนามในสัญญาว่าจ้างสร้างเรือเมื่อ 27 มีนาคม พ.ศ. 2535

กองทัพเรือได้ขอพระราชทาน ชื่อเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่กองทัพเรือ และเป็นขวัญกำลังใจแก่กำลังพลประจำเรือ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อเรือหลวงลำนี้ว่า เรือหลวงจักรีนฤเบศร แปลว่า ผู้เป็นใหญ่แห่งราชวงศ์จักร และใช้คำขวัญว่า "ครองเวหา ครองนที จักรีนฤเบศร"

ในวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2540 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาทรงเจิมเรือหลวงจักรีนฤเบศร

เรือหลวงจักรีนฤเบศร หรือ เรือรบหลวงจักรีนฤเบศร เป็นเรือบรรทุกอากาศยานลำแรกและลำเดียวของราชนาวีไทยและอาเซียน ประจำการในส่วนกำลังรบของกองทัพเรือ เป็นเรือที่ต่อขึ้นจากประเทศสเปน ขึ้นระวางประจำการเมื่อ วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2540 ได้ใช้งานปฏิบัติภารกิจด้านยุทธการและช่วยเหลือภัยพิบัติตลอดน่านน้ำไทยทั้งฝั่งอ่าวไทย และฝั่งทะเลอันดามัน นอกจากนี้ยังเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมตามวันและเวลาที่กำหนดด้วย

ภารกิจเรือหลวงจักรีนฤเบศร 
ร.ล.จักรีนฤเบศร เป็นเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ขนาดใหญ่ ลำแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีระวางขับน้ำ้มากถึง 11,743 ตัน สามารถทนต่อคลื่นลมรุนแรงได้ในระดับ 9 ซึ่งคลื่นมีความสูงถึง 13.8 เมตร และเพื่อให้การต่อเรือเป็นไปอย่างคุ้มค่า กองทัพเรือจึงได้พิจารณากำหนดคุณลักษณะเฉพาะของเรือ ให้สามารถทำหน้าที่เป็นฐานปฏิบัติการในทะเล เพื่อต่อระยะทำการของอากาศยาน และเรือรบของกองทัพเรือ ให้สามารถปฏิบัติภารกิจหน้าที่คุ้มครองผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และปกป้องอธิปไตยของชาติได้อีกด้วย

สถานตากอากาศบางปู

ที่ตั้งสถานตากอากาศบางปู
สถานตากอากาศบางปู
ตั้งอยู่บนกิโลเมตรที่ 37 ถนนสุขุมวิท ตำบลบางปูใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ มีกรมพลาธิการทหารบก กำกับดูแลและดำเนินกิจการ สถานพักตากอากาศบางปูเป็นศูนย์รวมสันทนาการสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ ภายในพื้นที่ประกอบไปด้วย สถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ศูนย์ศึกษาธรรมชาติเฉลิมพระเกียรติ พื้นที่สาธิตและนิทรรศการการบรรเทาผลกระทบจากวิกฤติโลกร้อน บริเวณอนุสรณ์ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบก สะพานสุขตา ร้านอาหารศาลาสุขใจ บ้านพักบังกะโล และอาคารที่พัก

ประวัติสถานตากอากาศบางปู
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนตากอากาศทางชายทะเลด้านอ่าวไทยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศไทย สถานตากอากาศตามธรรมชาติแห่งนี้ได้กำเนิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2480 โดย จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ได้ดำริให้สร้างเป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับประชาชนทั่วไป เนื่องด้วยพื้นที่ติดชายทะเลและระยะทางไม่ไกลจากกรุงเทพฯ พ.ศ. 2482 การดำเนินการก่อสร้างสะพานสุขตาเสร็จเรียบร้อยเปิดให้บริการแก่ประชาชนทั่วไป ในชื่อเรียก "สถานตากอากาศชายทะเล บางปู" มีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นผู้รับผิดชอบดูแล

พ.ศ.2484 สถานตากอากาศฯ ต้องหยุดดำเนินการ เนื่องจากกองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกเพื่อใช้เป็นทางผ่านในการสู้รบกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามมหาเอเชียบูรพา จนเมื่อ พ.ศ.2490 เหตุการณ์สงบลงจึงได้เปิดดำเนินการใหม่อีกครั้ง ต่อมาในปี พ.ศ. 2491 กรมพลาธิการทหารบกได้รับมอบหมายให้ดูแลรับผิดชอบแทน และได้เปิดบริการขายอาหารและเครื่องดื่มที่บริเวณปลายสะพานสุขตา และจัดตั้งสถานพักฟื้นสำหรับทหารที่บาดเจ็บ

พ.ศ. 2536 ร้านอาหารที่ปลายสะพานสุขตาปิดให้บริการ เนื่องจากความทรุดโทรมของฐานรากอาคารชำรุดมาก ไม่ปลอดภัยกับผู้มาใช้บริการ พ.ศ. 2542 เนื่องจากสถานการณ์ภายในบ้านเมืองได้เปลี่ยนแปลงไป การสู้รบตามแนวชายแดนลดน้อยลง ทำให้สถานพักฟื้นไม่มีทหารที่บาดเจ็บจากการสู้รบมาฟื้นฟูสภาพจิตใจและร่างกาย กองทัพบกจึงได้มีคำสั่งยุบสถานพักฟื้น คงเหลือไว้เพียงสถานพักผ่อน พ.ศ. 2543 การปรับปรุงซ่อมแซมสะพานและร้านอาหารปลายสะพานสุขตาได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อย พร้อมเปิดให้บริการ แก่ข้าราชการ ลูกจ้างสังกัดกองทัพบกตลอดจนประชาชนทั่วไปในเดือนสิงหาคม 2543 เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "ศาลาสุขใจ"

สิ่งที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ คือ การชมและให้อาหารฝูงนกนางนวลในช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนเมษายน ซึ่งจะมีฝูงนกนางนวลบินอพยพหนีหนาวเดินทางไกลเป็นระยะทางกว่า 3,000 ไมล์ จากแหล่งอาศัยบริเวณที่ราบสูงตอนในของทวีปเอเชีย แถบประเทศทิเบต คาจิกิสถาน จีนตอนเหนือ และตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย มาที่บางปูเป็นจำนวนมาก

ช่วงเวลาเย็นบริเวณสะพานสุขใจทั้งสองข้างทางจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาชมความน่ารักของนกนางนวล จะมีแม่ค้าขายอาหารนกเป็น มันไก่ทอด และกากหมู ส่วนการให้อาหารนกให้โยนอาหารให้นกโฉบบินกลางอากาศ ควรหลีกเลี่ยงการให้นกเข้ามาจิกกินจากมือ บริเวณที่ขายอาหารนกยังมีอ่างล้างมือ และผ้าสำหรับเช็ดมือไว้บริการอีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

กว๊านพะเยา

กว๊านพะเยา
กว๊านพะเยา เกิดจาการยุบตัวของเปลือกโลกเมื่อประมาณ 70 ล้านปีมาแล้ว เป็นแอ่งน้ำซึ่งเป็นที่รวบรวมของลำห้วยต่างๆ 18 สาย ต่อมาในปี พ.ศ. 2478 กรมประมงได้ตั้งสถานีประมงน้ำจืดจังหวัดพะเยาขึ้นบริเวณต้นแม่น้ำอิงและสร้างฝายกั้นน้ำทำให้เกิดเป็นบึงขนาดใหญ่ มีความลึกเฉลี่ย 1.5 เมตร คำว่า "บึง" ภาษาพื้นเมือง เรียกว่า "กว๊าน"

ในอดีตพื้นที่กว๊านพะเยาเป็นพื้นที่รองรับน้ำจากเทือกเขาไหลลงมาเป็น ลำห้วย ลำธาร แม่น้ำ และกลายเป็นหนองน้ำเล็กใหญ่ในช่วงฤดูแล้งระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน ของทุกปี ปริมาณน้ำจะลดลงทำให้ชาวบ้านสามารถใช้พื้นที่เกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์และเป็นเส้นทางสัญจรไปมาระหว่างตัวเมืองกับหมู่บ้านรอบๆ กว๊านพะเยา และเมื่อหลายร้อยปีมานั้นพื้นที่ในบริเวณของกว๊านพะเยาจะเป็นชุมชนหมู่บ้านมีวัดวาอารามอยู่หลายวัด ต่อมาเมื่อกรมประมงสร้างประตูกั้นน้ำในกว๊านพะเยาเพื่อกักเก็บน้ำ จึงทำให้บริเวณกว๊านพะเยาที่แต่เดิมเป็นชุมชนโบราณ และมีวัดหลายแห่งต้องจมอยู่ในกว๊านพะเยา

กว๊านพะเยา เป็นแหล่งน้ำที่สำคัญที่สุดของจังหวัดพะเยา เป็นทั้งแหล่งประมงน้ำจืดที่สำคัญที่สุดของภาคเหนือตอนบน และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดพะเยา เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติอยู่ใจกลางเมืองพะเยา อยู่ในเขตอำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา มีเนื้อที่ประมาณ 12,831 ไร่ เป็นทะเลสาบน้ำจืดใหญ่เป็นอันดับ 1 ในภาคเหนือ และ อันดับ 3 ของประเทศไทย (รองจาก หนองหาน และบึงบอระเพ็ด) มีปริมาณน้ำเฉลี่ยปีละ 29.40 ล้านลูกบาศก์เมตร มีพันธ์ปลาน้ำจืดกว่า 48 ชนิด เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาชนิดต่างๆ เช่น ปลากราย ปลาสวาย ปลาเทโพ ปลาจีน ปลาไน รวมทั้งปลานิล อันลือชื่อของจังหวัดพะเยา

ทัศนียภาพโดยรอบกว๊านพะเยา มีความร่มรื่น สามารถมองเห็นแนวทิวเขาสลับซับซ้อนที่งดงาม ทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติที่สวยงามสร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็น จนอาจจะกล่าวได้ว่าหัวใจของเมืองพะเยาอยู่ที่กว๊านพะเยานี่เอง

บริเวณริมกว๊านพะเยามีร้านอาหาร และสวนสาธารณะให้ประชาชนพักผ่อนหย่อนใจ มีจักรยานน้ำ กระดานโต้ลม และเรือไว้บริการนักท่องเที่ยวที่ต้องการชมทัศนียภาพรอบกว๊านพะเยาอีกด้วย

สิ่งที่เป็น Amazing Thailand
วัดติโลกอาราม เป็นโบราณสถานแห่งหนึ่งที่จมอยู่ในกว๊านพะเยา เป็นวัดที่มีอายุเก่าแก่มากกว่า 500 ปี สร้างในสมัยพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์ผู้ครองเมืองเชียงใหม่ (ราวปี พ.ศ. 2019-2029) วัดนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะเป็นวัดที่มีผู้ปกครองเมืองพะเยาได้สร้างถวาย เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติแก่พระเจ้าติโลกราช ในฐานะทรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรล้านนา

วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ปราสาทไม้สัจธรรม

ปราสาทไม้สัจธรรม ออกแบบและสร้างขึ้นโดยคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทธนบุรีประกอบรถยนต์ และบริษัทวิริยะประกันภัย และยังเป็นผู้ก่อตั้งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอันได้แก่ เมืองโบราณ และพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณที่จังหวัดสมุทรปราการ ปัจจุบันคุณเล็กถึงแก่กรรมไปแล้วเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543

ปราสาทไม้สัจธรรมเริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2524 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 30 ปีแล้ว ก็ยังไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากเป็นงานที่ต้องอาศัยเวลา กำลังคน และกำลังทรัพย์ ทั้งยังไม่มีปราสาทไม้ลักษณะนี้เป็นต้นแบบ

ปราสาทสัจธรรมแห่งนี้อุบัติขึ้นจากความสำนึกของคนตะวันออก ที่ว่าความเป็นมนุษย์ที่ผ่านมานับพันปีเป็นสิ่งที่จรรโลงโลกมาได้ด้วยสัจธรรมทางศาสนาและปรัชญา โดยมีศิลปะเป็นสื่อ เนื้อหาและความหมายไม่ใช่เป็นสิ่งที่คิดขึ้นใหม่ด้วยความอหังการ์ หากได้นำเอาสิ่งที่ดีงามที่มีอยู่ในศาสนา ปรัชญา และศิลปกรรม มาปรุงแต่งให้เหมาะสมกับกาลเทศะ

ปราสาทสัจธรรม
ปราสาทสัจธรรมตั้งอยู่ที่แหลมราชเวช อ่าววงพระจันทร์ ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ในเนื้อที่ประมาณ 80 ไร่ ได้รับรางวัลประเภทรายการแหล่งท่องเที่ยวดีเด่น จากรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ประจำปี พ.ศ. 2551

ปราสาทสัจธรรมเป็นอาคารที่สร้างด้วยไม้แกะสลักทั้งหลังเป็นทรงไทยจตุรมุข ด้านล่างของฐานเป็นลักษณะฐานสิงห์ ห้องโถงและหน้าต่างเปิดให้ลมและแสงสว่างเข้าออกทั้ง 4 ด้าน ศิลปะตบแต่งปราสาทเป็นศิลปะแนวความคิดใหม่ที่ผสมผสานกันตั้งแต่อยุธยาตอนต้นจนถึงศิลปะรัตนโกสินทร์ หลังคาซ้อนลดหลั่นกันสี่ด้าน ยอดเป็นสัญลักษณ์พระปรางค์ ยอดสูงทั้งสี่ด้านมีรูปแกะสลักลอยตัวสัญลักษณ์ของเทพยืนบนยอดทั้ง 4 ทิศ

ตัวอาคารหลังมีขนาดความสูง 105 เมตร กว้างยาวจากทิศเหนือจรดทิศใต้ 100 เมตร และทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตก 100 เมตร พื้นที่ในปราสาท 2,115 ตารางเมตร ภายในปราสาทมีประติมากรรมไม้แกะสลักที่วิจิตรพิสดารอยู่แทบทุกจุด และที่ใจกลางปราสาท เป็นห้องโถงใหญ่มีบุษบกทรงสถูปไม้แกะสลักสง่างามสื่อถึงสัญลักษณ์แห่งการหลุดพ้น

โดยไม้ที่นำมาใช้ในการสร้าง ได้แก่ ไม้แดง ไม้ตะเคียน ไม้พันชาด ไม้เคียมคะนอง และไม้สักทอง ซึ่งล้วนเป็นไม้เนื้อแข็งที่สามารถรองรับน้ำหนักได้เป็นพันตัน เป็นไม้ที่ได้มาจากสัมปทานประเทศเพื่อนบ้าน เสาเอกเป็นไม้ตะเคียนทองอายุ 600 ปี การเข้าไม้ของปราสาทใช้การยึดต่อไม้แบบโบราณในการเข้าเดือยตอกสลัก เข้าลิ่ม เข้าหางเหยี่ยวโดยไม่มีการใช้ตะปู

ก่อนถึงปราสาทสัจธรรมจะมีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นปราสาทสัจธรรมทั้งหลังที่มีพื้นหลังเป็นวิวทะเล ส่วนบริเวณรอบปราสาทสัจธรรมจะมีสวนหย่อม โรงแกะสลัก และร้านขายของที่ระลึก

การเยี่ยมชมภายในปราสาทสัจธรรมจะมีหมวกนิรภัยให้สวมเพื่อความปลอดภัย เนื่องจากปราสาทไม้สัจธรรมมีการจัดสร้างและซ่อมแซมอยู่โดยตลอด อาจมีชิ้นส่วนการก่อสร้างตกใส่ นอกจากนี้ยังมีมัคคุเทศน์คอยให้ข้อมูลอธิบายเกี่ยวกับปราสาทไม้สัจธรรมประมาณ 20 นาที จากนั้นนักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวชม และถ่ายภาพได้ตามอัธยาศัย

วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

บึงฉวาก

บึงฉวากเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ อยู่ในพื้นที่ 2 จังหวัด คือ อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี และอำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท รับน้ำจากคูส่งน้ำซึ่งผันน้ำมาจากแม่น้ำท่าจีน บึงฉวากมีความกว้างประมาณ 650 เมตร ความยาวประมาณ 6,500 เมตร ระดับน้ำลึกเฉลี่ย 2 เมตร รวมพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 1,807 ไร่

บึงฉวากได้รับประกาศให้เป็นเขตห้ามล่าสัตว์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 ซึ่งสัตว์ที่ห้ามล่าส่วนใหญ่เป็นสัตว์จำพวกนกที่มีมากกว่า 50 ชนิด

ต่อมาในปี พ.ศ. 2537 จังหวัดสุพรรณบุรีได้จัดทำโครงการบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในวาระโอกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 50 ปี ในปี พ.ศ. 2539 ได้ดำเนินการปรับปรุงบูรณะบึงฉวากให้เป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ เพื่อใช้พื้นที่กักเก็บน้ำไว้ใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค และการเพาะปลูกให้แก่ราษฎร ในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง ตลอดจนส่งเสริมเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด และเป็นแหล่งในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย โดยได้รับการสนับสนุนจาก นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี ตลอดจนคำแนะนำอันเป็นประโยชน์ และติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด ทำให้โครงการสำเร็จอย่างรวดเร็ว

บึงฉวาก
ปัจจุบันโครงการบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสุพรรณบุรี ประกอบไปด้วยกรงเสือ สิงห์โต และสัตว์ป่า กรงนกใหญ่ เกาะกระต่าย ศุนย์รวมพันธุ์ไก่และสัตว์หายาก อุทยานผักพื้นบ้านเพื่อการยังชีพ สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ บ่อจระเข้น้ำจืด และโลกใต้ทะเล

สำหรับสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2539 โดยได้จัดสร้างตู้ปลา 30 ตู้ มีปลาน้ำจืดกว่า 50 ชนิด และสร้างบ่อจระเข้ ดำเนินการสร้างแล้วเสร็จ และเปิดให้บริการเมื่อเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541

เนื่องด้วยอาคารแสดงพันธุ์สัตว์น้ำหลังที่ 1 มีขนาดเล็กสามารถแสดงพันธุ์สัตว์น้ำได้เพียง 50 กว่าชนิดเท่านั้น ปีพ.ศ. 2544 จึงให้จัดสร้างอาคารแสดงพันธุ์สัตว์น้ำหลังที่ 2 แล้วเสร็จเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2546 และต่อมายังได้สร้างอาคารแสดงพันธุ์สัตว์น้ำหลังที่ 3 สวรรค์แห่งโลกใต้ทะเล ซึ่งทำพิธีเปิดอาคารเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2552

สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ ตั้งอยู่ที่ ตำบลเดิมบาง อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ก่อสร้างขึ้นภายใต้โครงการพัฒนาบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ มีวัตถุประสงค์ในการจัดสร้างเพื่อเป็นสถานที่ศึกษาพฤติกรรมสัตว์น้ำให้กับ นักวิชาการ ประชาชน นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนผู้สนใจโดยทั่วไป

ภายในสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ มีอาคารสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ 3 หลัง ที่รวบรวมปลาจากทั่วทุกแหล่งน้ำจากทุกมุมโลก มีการจัดแสดงทั้งพันธุ์สัตว์น้ำจืดและน้ำเค็ม ปลาสวยงาม และพันธุ์ปลาหายาก
 

Travel around the world

Thai noodles and snacks

Statistic

Unseen Amazing Thailand Copyright © 2010 Blogger Template Sponsored by Trip and Travel Guide