แนะนำแหล่งท่องเที่ยวไทย ที่เที่ยวไทย ร่วมส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย ด้วยการเที่ยวเมืองไทย โดยรวบรวมข้อมูลและสถานที่ท่องเที่ยวประเทศไทย ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ สำหรับคนรักการท่องเที่ยวไทย

ท่องเที่ยวไทย

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วังสวนผักกาด

วังสวนผักกาด
วังสวนผักกาด เป็นสถานที่แห่งแรกในประเทศไทยที่เจ้าของบ้าน คือ พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต หรือ เสด็จในกรมฯ และ หม่อมราชวงศ์พันธุ์ทิพย์ บริพัตร หรือ "คุณท่าน" ได้เปิดบ้านซึ่งหลายคนรู้จักในนาม "วังสวนผักกาด" ให้บุคคลภายนอกเข้าชม ในขณะที่ท่านเจ้าของยังคงใช้เป็นที่พำนักนับแต่ พ.ศ.2495 เป็นต้นมา ส่วนที่มาของชื่อ วังสวนผักกาด คือตั้งตามลักษณะของพื้นที่ซึ่งเคยเป็นสวนผักกาดของชาวสวนมาก่อน

วังสวนผักกาด
ทั้งนี้ ด้วยนิสัยและความรักในการสะสม เสด็จในกรมฯ ทรงรวบรวมศิลปะและโบราณวัตถุอันล้ำค่า ที่สืบทอดมาจาก จอมพลเรือ จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต (ทูลกระหม่อมบริพัตรฯ) ต้นราชสกุลบริพัตร พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และ สมเด็จพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี นอกจากนี้ เสด็จในกรมฯ และ "คุณท่าน" ต่างร่วมกันสะสมศิลปะและโบราณวัตถุชิ้นสำคัญอื่น ๆ ของทั้งชาติไทย และของโลกไว้อีกเป็นจำนวนมาก โดยเก็บรวบรวมไว้ ณ วังสวนผักกาด
พิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด ตั้งอยู่บนพื้นที่ 6 ไร่ บริเวณถนนศรีอยุธยา กรุงเทพฯ อันประกอบด้วยเรือนไทยโบราณ 8 หลัง เรือนหลังที่ 1 - 4 จัดเป็นหมู่เรือนไทย โดยเรือนหลังแรกมีสะพานเชื่อมไปสู่เรือนหลังที่ 2, 3 และ 4 ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ ตามลำดับ ส่วนเรือนหลังที่ 5 - 8 ปลูกอยู่ห่างกันทางทิศตะวันตก และมีหอเขียนอยู่ทางทิศใต้ ซึ่งสร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภายในมีภาพลายรดน้ำเรื่องพุทธประวัติ เรื่องรามเกียรติ์และเหตุการณ์ที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ส่งราชทูตฝรั่งเศสเข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

ส่วนที่บริเวณชั้น 2 ของศิลปาคารจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ จัดเป็นพิพิธภัณฑ์บ้านเชียง แสดงโบราณวัตถุมีอายุเก่าแก่ประมาณ 4,000 ปี เช่น ภาชนะดินเผา กำไลหิน ลูกปัดแก้วซึ่งพบบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย
อย่างไรก็ตาม ภายในหมู่เรือนไทยโบราณ 8 หลังอายุกว่าร้อยปี เช่น เรือนไทยหลังที่ 1 ชั้นล่างคือ พิพิธภัณฑ์ดนตรีทูลกระหม่อมบริพัตรฯ ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น "พระบิดาแห่งดนตรีไทย", เรือนไทยหลังที่ 4 จัดแสดงโบราณวัตถุ เช่น พระพุทธรูปสำริดศิลปะสุโขทัย งาช้างแกะสลัก, เรือนไทยหลังที่ 7 เป็นพิพิธภัณฑ์โขน จัดแสดงหัวโขนต่าง ๆและหุ่นละครเล็ก, เรือนไทยหลังที่ 8 จัดแสดงวัฒนธรรมบ้านเชียง

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คลองบางหลวง

คลองบางหลวง
คลองบางหลวง หรือ คลองบางกอกใหญ่ เป็นคลองเก่าแก่ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมาสร้างราชธานีใหม่ที่กรุงธนบุรี เหล่าข้าราชการขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายต่อหลายท่านมาจับจองสร้างบ้านกันอยู่ ริมคลอง บางกอกใหญ่ เพราะเป็นบริเวณใกล้เคียงกับพระราชวังกรุงธนบุรี ชาวบ้านจึงเรียกคลองแถบนี้อีกชื่อหนึ่งว่า "คลองบางข้าหลวง" และเหลือเพียง "คลองบางหลวง" ในที่สุด ปัจจุบันนี้เป็นที่ตั้งของชุมชนที่เรียกว่า "ชุมชนริมคลองบางหลวง" ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายในอดีต

ถ้าเดินมาจากวัดคูหาสวรรค์ตามแนวระเบียงริมน้ำของชาวบ้าน ซึ่งแต่ละหลังจะเชื่อมต่อกันเพื่อความสะดวกในการสัญจรและไปมาหาสู่กัน เราก็จะได้พบกับ ร้านดีเลิศ ชื่อไทย ๆ ซึ่งเปิดเป็นร้านขายกาแฟแต่ร้านแนว Retro ข้างของเครื่องใช้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นของเก่าที่ทางเจ้าของร้านเก็บสะสมไว้ ติดกันคือ ร้าน River of Alphabets เป็นร้านขายหนังสือจำพวกวรรณกรรมและยังขายไอศกรีมโฮมเมด ที่ทางเจ้าของร้านทำเองอีกด้วย รสชาติอร่อยใช้ได้เลยทีเดียว

คลองบางหลวง หรือ คลองบางกอกใหญ่
เดินตรงมาตามทางเรื่อย ๆ เราก็จะได้พบกับบ้านเรือนของชาวบ้านที่ใช้ชีวิตอย่างปกติและเรียบง่าย ไม่ไกลจากสะพานมากเราก็จะได้พบกับ ร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP ขายของที่ระลึก สมุนไพร และของใช้จิปาถะมากมาย ถัดไปเป็น บ้าน ศ.จิตรกร รับวาดภาพเหมือนโดยใช้เวลาเพียง 15 นาทีเราก็จะได้รูปที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลกแล้ว ใกล้ ๆ กันเป็น ร้านบ้านของเล่น มีของเล่นมากมายในสมัยอดีต เมื่อเห็นแล้วก็ทำให้เราได้ย้อนคิดถึงความสุขและสนุกในสมัยวัยเยาว์

เดินมาจนสุดทางเราก็จะได้พบกับบ้านเก่าที่มีอายุยาวนานกว่า 100 ปีซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยก็ว่าได้ "บ้านศิลปิน" เป็นบ้านเก่าของ "ตระกูลรักสำรวจ" ตระกูลช่างทองเก่าแก่ ซึ่งทายาทรุ่นสุดท้ายได้ขายบ้านหลังนี้ให้กับคุณชุมพล อักพันธานนท์ เพื่อปรับปรุงให้เป็นสถานที่แสดงงานศิลป์ เป็นที่รวมตัวของของกลุ่มศิลปินที่รักงานศิลปะ บ้านศิลปินเป็นอาคารไม้ทรงมะนิลารูปตัวแอลที่สร้างล้อมรอบเจดีย์เก่าซึ่ง เป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง สันนิษฐานว่าเป็นหนึ่งในสี่ของเจดีย์แต่ละทิศที่กำหนดเขตพื้นที่เก่าของวัด กำแพง ด้านบนของตัวอาคารเปิดเป็นแกลเลอรี่แสดงงานศิลปะทั้งภาพวาดและภาพถ่ายให้ ได้ชมกัน

ส่วนด้านล่างแบ่งเป็นพื้นที่ทำงานศิลปะต่าง ๆ การทำภาพพิมพ์ การทำเครื่องประดับเป็นต้น โดยเฉพาะอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ใช้ทำเครื่องประดับเป็นของเก่าที่อยู่กับอาคาร หลังนี้ตั้งแต่สมัยก่อนและทุกวันนี้ยังสามารถใช้ได้จริง และในทุก ๆ วันอาทิตย์ที่นี่จะมีการฝึกอบรมสอนการทำเครื่องประดับให้กับผู้ที่สนใจโดย ไม่เสียค่าอบรม อีกส่วนที่เหลือของพื้นที่ด้านล่างแบ่งเป็นมุมขายของที่ระลึกและโปสการ์ด มีมุมร้านกาแฟให้ได้สั่งเครื่องดื่มมานั่งจิบพร้อมชมวิวทิวทัศน์ริมคลอง นั่งรับลมที่พัดเอื่อย ๆ เย็นสบาย มองวิถีชีวิตของคนริมคลอง สามารถมาพักผ่อนเยี่ยมชมดูงานศิลปะได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 8.00 น. – 18.00 น.

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ตลาดโบ๊เบ๊

ตลาดโบ๊เบ๊
ตลาดโบ๊เบ๊ เป้นตลาดขายส่งเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ใหญ่ที่สุด ตั้งอยู่ที่ริมคลองผดุงกรุงเกษม ช่วงระหว่างสะพานกษัตริย์ศึกกับตลาดมหานาค มีอายุนานกว่า 40 ปี เสื้อผ้าส่วนใหญ่จะขายกันเป็นลักษณะยกโหล มีมากมายหลายชนิด เป็นที่นิยมของประชาชนโดยทั่วไป โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ดังนั้นตลาดโบ๊เบ๊จึงมีชื่อเสียงว่าเป็นตลาดเสื้อผ้าที่มีราคาถูกที่สุดของกรุงเทพฯ

ตลาดโบ๊เบ๊เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 บริเวณข้างวัดบรมนิวาสราชวรวิหาร ด้านริมทางรถไฟ การค้าผ้าในระยะเริ่มแรก เป็นลักษณะแบกับดิน มีจำนวนมากขึ้นๆ พ่อค้า แม่ค้า บางส่วนต้องอาศัยคาดผ้ากับแขนแล้วเดินขายให้ลูกค้าทั่วไป เมื่อตลาดเริ่มคึกคัก เป็นที่รู้จักมากขึ้น วัดบรมนิวาสก้ได้มอบหมายให้คนไทยเชื้อสายอิสลาม เป็นผู้ที่เข้ามาดูแลความเรียบร้อย และจัดเก็บผลประโยชน์ให้กับวัด กิจการของตลาดโบ๊เบ๊ ก็ดำเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงจากแบกับดินมาเป็นแผงลอย เปลี่ยนแปลงแผงลอยมาเป็นอาคารพาณิชย์ในที่สุดดั่งปัจจุบัน

โบ๊เบ๊ ทาวเวอร์
ต่อมามีจำนวนพ่อค้าแม่ค้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ ตลาดโบ๊เบ๊ เริ่มคึกคักและเป็นที่รู้จักมากขึ้น วัดบรมนิวาส (พื้นที่บริเวณโบ๊เบ๊เป็นของวัด) จึงได้มอบหมายให้คนไทยเชื้อสายอิสลาม เข้ามาเป็นผู้ที่เข้ามาดูแลความเรียบร้อย และจัดเก็บผลประโยชน์ให้กับทางวัด ซึ่งกิจการของตลาดโบ๊เบ๊ ก็ดำเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงจากแบกับดินมาเป็นแผงลอย และเปลี่ยนแปลงแผงลอยมาเป็นอาคารพาณิชย์ในที่สุด

โบ๊เบ๊ ขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปทั้งแบบขายส่งและขายปลีก เสื้อผ้าส่วนใหญ่จะขายกันเป็นลักษณะยกโหล มีมากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น เสื้อ กางเกง รองเท้า ชุดนอน ชุดเด็ก ชุดว่ายน้ำ ชุดชั้นใน ฯลฯ ทั้งนี้ โบ๊เบ๊ ที่เป็นแผงลอยคือ ซอยพานิชโบ๊เบ๊ สะพาน 1, ซอยอาภรณ์โบ๊เบ๊ สะพาน 2, ตลาดโบ๊เบ๊ สะพาน 3, ตลาดโบ๊เบ๊ สะพาน 4, โบ๊เบ๊ สะพาน 5 และ ตลาดโบ๊เบ๊เซ็นเตอร์ จะเปิดขายตั้งแต่เวลา 03.00 - 16.00 น. ส่วนภายในตึก โบ๊เบ๊ ทาวเวอร์ จะเปิดขายทุกวัน เวลา 11.00 – 18.00 น. (วันเสาร์-อาทิตย์เปิดขายถึง 12.00 น.)

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ตลาดนัดรถไฟ

ตลาดนัดรถไฟ
ตลาดนัดรถไฟ เป็นตลาดนัดกลางคืนแห่งใหม่ที่น่าสนใจ ตั้งอยู่บริเวณสุสานรถไฟ เยื้องๆ ตลาดอ.ต.ก. เป็นตลาดที่รวมของมือสอง ของสะสม ของเก่า ของเล่น ของตกแต่งบ้าน รถโบราณ จักรยานโบราณ เสื้อผ้า แฟชั่น
ตลาดนัดรถไฟ มีสองโซน คือ โซนข้างนอก ที่เปิดท้ายขายของ ไม่ว่าจะเป็น ของกิน ของใช้ ของใหม่ ของมือสอง รวมทั้งของสะสม, ของเก่า, ของเล่น, ของใช้, ของตกแต่งบ้าน, ของโบราณ, รถโบราณ, จักรยานโบราณ, เสื้อผ้า, แฟชั่น และต้นไม้ ฯลฯ

ตลาดนัดรถไฟ
ส่วนโซนข้างใน ด้านซ้ายจะเป็นโกดัง มีเฟอร์นิเจอร์ย้อนยุค ส่วนตรงลานโล่งเป็นที่ขายของตกแต่งบ้าน เสื้อผ้าแนววินเทจ ตุ๊กตาหลากแบบ และสินค้าอื่น ๆ ให้เลือกชมเลือกซื้อมากมาย ที่สำคัญต่อรองได้ ราคาไม่แพงเกินความสามารถในการจับจ่าย

ใครที่อยากไปย้อนความทรงจำในวันวาน หรือไปตามหาของรักที่หายไปในวัยเด็ก ก็ไม่ควรพลาดไปเที่ยว ตลาดนัดรถไฟ อยู่ด้านหลังสวนจตุจัตร ตรงข้ามตลาด อตก. ซึ่งเปิดขายทุก ๆ วันเสาร์และอาทิตย์ ตั้งแต่บ่าย 2 โมง จนถึงเที่ยงคืน (14.00 - 24.00 น.) แต่ถ้าใครกลัวร้อนก็มาเย็น ๆ ก็ได้

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

แอร์ออร์คิดส์ ซูเปอร์มาร์เก็ตกล้วยไม้

แอร์ออร์คิดส์ ซูเปอร์มาร์เก็ตกล้วยไม้
ซุปเปอร์มาร์เกตแห่งนี้มีชื่อว่า “แอร์ออคิตแลป” อยู่ที่อำเภอ บางเลน จังหวัดนครปฐม ไม่ไกลจากรุงเทพฯเท่าไหร่ ขับรถจากกรุงเทพฯมาเรื่อยๆผ่านมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ไปอีกประมาณ 16 กิโลเมตร มีป้ายบอกทางชัดเจน ที่ว่าเป็นซุปเปอร์มาร์เกตที่แปลกไม่เหมือนใครก็เพราะว่า ไม่ได้ขายขนมหรือข้าวของที่ต้องกินต้องใช้ ที่นี่มีแต่ต้นกล้วยไม้ให้เดินช้อปกัน ที่นี่ มีกล้วยไม้ทั้งราคาถูก และมีมากมายหลายพันธุ์ เจ้าของที่นี่ลงมือเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อและพัฒนาสายพันธุ์ของกล้วยไม้จนได้พันธุ์ใหม่ๆที่ทนต่อสภาพอากาศ เกิดเป็นกล้วยไม้แฟชั่นจนเป็นที่สนอกสนใจของต่างประเทศ และส่งออกไปยังประเทศต่างๆ โดยเฉพาะตลาดยุโรป อเมริกา ฮอลแลนด์ เกาหลี ญี่ปุ่น ส่วนกล้วยไม้ ที่นี่เค้าได้พัฒนาพันธุ์มาได้ใหม่ก็เช่น...โซเนีย, อีเมลด้า, ลัดแอร์ด้า, กระทิงแดง ฯลฯ

แอร์ออร์คิดส์ ซูเปอร์มาร์เก็ตกล้วยไม้
ซุปเปอร์มาร์เกตกล้วยไม้แห่งนี้มีพื้นที่ประมาณ 120 ไร่ และได้แบ่งออกเป็น 5 แปลง มีทั้งห้องแลปเพาะเนื้อเยื่อที่อยู่ในโซนด้านหลัง มีแปลงอนุบาลที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มีส่วนของซูเปอร์มาร์เกต โชว์รูมที่วางขายต้นกล้วยไม้ก็จัดอยู่ด้านหน้า มีรถเข็นให้สามารถเข็นแบบในห้างคาร์ฟูร์ โลตัส ให้ได้เข็นเลือกช้อปต้นกล้วยไม้ได้ตามความพอใจ มีทั้งแบบซื้อไปเป็นต้นเดี่ยว หรืออยากจะให้จัดใส่ลงกระเช้าเพื่อนำไปเป็นของฝากใครก็สามารถทำได้ ถ้าให้เค้าจัดให้เค้าก็จะคิดค่าอุปกรณ์ที่ใช้ตกแต่งเพิ่ม ส่วนราคาที่ขายเป็นต้นๆ แต่ละต้นก็ถูกมากๆ ก็มีตั้งแต่ 20 บาทขึ้นไป นอกจากนั้นยังมีโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม ซื้อ 10 ต้นแถม 1 ต้นอีกด้วย อุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ในการปลูกต้นกล้วยไม้ ไม่ว่าจะเป็นกระเช้า ลูกมะพร้าว ปุ๋ย ก็มี

นอกจากนี้ ยังมีกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ ๆ ที่อวดโฉมให้คุณมาชมกันอย่างมากมาย เรียกว่าเดินกันครึ่งค่อนวันเลยทีเดียว ส่วนใครที่อยากเดินชมความสวยงามของกล้วยไม้พันธุ์ต่าง ๆ ก็เข้าไปเดินดูได้ เจ้าของเค้าไม่หวงห้าม แถมยังจัดเตรียมซุ้มกล้วยไม้สวย ๆ ให้ได้แอ๊คชั่นถ่ายรูปกันอีกด้วย

การเดินทาง
ที่ตั้ง หมู่ 3 ต.นราภิรมย์ อ.บางเลน จ.นครปฐม ตรงพุทธมณฑลสาย 4 จากมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา แล้วเลี้ยวขวาตรงไปตลอดประมาณ 10 กิโลเมตร ก็จะมีป้ายตัวใหญ่มองเห็นแต่ไกล ร้านอยู่ติดถนนมีลานจอดรถพร้อม

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง จังหวัดขอนแก่น

พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง จังหวัดขอนแก่น
พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ ภูเวียง จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์แห่งแรกของประเทศไทย เป็นสถานที่ศึกษาวิจัยอนุรักษ์ซากไดโนเสาร์ และเผยแพร่เรื่องราวของไดโนเสาร์ ตลอดจนธรณีวิทยาสาขาอื่น ๆ ให้กับเยาวชนและประชาชนทั่วไป ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยจัดให้อยู่ในรูปแบบของแหล่งท่องเที่ยวทางวิชาการของ จ . ขอนแก่น โดยมีพื้นที่ 100 ไร่

พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง จังหวัดขอนแก่น
ฟอสซิลไดโนเสาร์ชิ้นแรกของไทยพบที่อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ในปี 2519 โดยนายสุธรรม แย้มนิยม อดีตนักธรณีวิทยาของกรมทรัพยากรธรณี ขณะสำรวจแร่ยูเรเนียม ที่อุทยานแห่งชาติภูเวียง บริเวณห้วยประตูตีหมา กระดูกชิ้นนี้มีความกว้างยาวประมาณ 1 ฟุต จากการเปรียบเทียบพบว่ามีลักษณะใกล้เคียงกับไดโนเสาร์ซอโรพอด ซึ่งมีขนาดใหญ่ยาวประมาณ 15 เมตร

สถานที่ตั้ง
ศูนย์ศึกษาวิจัยแลพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง ตั้งอยู่ใกล้อุทยานแห่งชาติภูเวียง อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น โดยอยู่ห่างจากตัวจังหวัดขอนแก่นไปทางทิศตะวันตกเป็นระยะทางประมาณ 87 กิโลเมตร

การเดินทาง
จากตัวเมืองขอนแก่นใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 12 (ขอนแก่น-ชุมแพ) ประมาณ 48 กม. จะถึงทางแยกเลี้ยวขวาไป อ.ภูเวียง ท่านจะได้พลกับรูปปั้นไดโนเสาร์ขนาดใหญ่อยู่ด้านซ้ายมือ เลี้ยวขวาไปอีกประมาณ 25 กม. ก็จะพบ พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง ตั้งอยู่ก่อนถึงอุทยานแห่งชาติภูเวียง ประมาณ 3 กม.

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจา

อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจา
อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจา มีเนื้อที่ครอบคลุมท้องที่อำเภออ่าวลึก อำเภอเขาพนม และอำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ เขาพนมเบญจาเป็นสัญลักษณ์แห่งความงามที่โดดเด่นอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดกระบี่ สภาพป่าอุดมสมบูรณ์ประกอบด้วยเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน มีไอหมอกปกคลุมตลอดทั้งปี มีทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม เช่น ลำธาร น้ำตก ถ้ำต่าง ๆ และสัตว์ป่านานาชนิด มีเนื้อที่ประมาณ 31,325 ไร่ หรือ 50.12 ตารางกิโลเมตร

ลักษณะภูมิประเทศ
เป็นเทือกเขาที่เขียวชอุ่มสลับซับซ้อน มีหน้าผาสูงชัน ประกอบด้วยเขาพนมและเขาพนมเบญจา เทือกเขาเหล่านี้มีลักษณะเป็นแนวยาวตลอดจากเหนือจรดใต้ เป็นต้นกำเนิดแหล่งน้ำสายสำคัญที่ใช้ในการอุปโภคบริโภคของประชาชนในตัวเมืองกระบี่

อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจา
ลักษณะภูมิอากาศ
อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจาอยู่ในเขตมรสุมเมืองร้อน ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้อากาศอบอุ่นและชุ่มชื้นตลอดปี ประกอบด้วย 2 ฤดู คือ ฤดูร้อนร้อนระหว่างเดือนมกราคม-เมษายน และฤดูฝน ระหว่างเดือนพฤษภาคม-ธันวาคม จะมีฝนตกชุกในเดือนมิถุนายน-ตุลาคม

การเดินทาง
การเดินทาง จากสามแยกตลาดเก่าไปตามถนนศรีตรัง 1 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายตามเส้นทางตลาดเก่า-บ้านห้วยใต้ ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยานฯ

แหล่งท่องเที่ยว :: ด้านธรรมชาติที่สวยงาม

น้ำตกห้วยใต้ ตั้งอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯประมาณ 500 เมตร มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาพนมเบญจา เป็นน้ำตกที่ตกจากหน้าผา มี 11 ชั้น แต่ละชั้นมีแอ่งน้ำใหญ่ น้ำใสสะอาด

น้ำตกห้วยสด ตั้งอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 1.2 กิโลเมตร เป็นน้ำตกจากหน้าผาสูง

ถ้ำเขาผึ้ง ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติประมาณ 3 กิโลเมตร ภายในมีถ้ำย่อยๆ ที่มีความสวยงามของหินงอกหินย้อย เมื่อใกล้ถึงทางออกของถ้ำจะพบหินย้อยที่มีรูปร่างคล้ายดอกบัวขนาดใหญ่อยุ่บนผนังถ้ำ ถ้ำแห่งนี้จึงมีชื่อว่า ถ้ำบัว

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ตลาดน้ำบางพลี

ตลาดน้ำบางพลี
ตลาดน้ำบางพลีมีอายุ 141 ปีเดิมชื่อ “ตลาดศิริโสภณ” เป็นตลาดเก่าแก่ตลาดหนึ่งพื้นตลาดทำจากไม้สามารถเดินติดต่อกันได้ถึง 500 เมตรตลาดนี้ตั้งอยู่บนฝั่งเหนือของคลองสำโรงช่วงอำเภอบางพลีจังหวัดสมุทรปราการ

ตลาดน้ำบางพลี
ถือว่าเป็นชุมชนใหญ่และรุ่งเรืองมากในอดีตเป็นตลาดขนส่งสินค้าและผู้โดยสารจากภาคตะวันออกชายฝั่งทะเลสู่กรุงเทพฯการเดินทางในสมัยก่อนจะใช้คลองสำโรง

ในรัชสมัยรัชกาลที่ 1 พ.ศ. 2350 สุนทรภู่กวีเอกของไทยไปเยี่ยมบิดาที่เมืองแกลงได้แต่งนิราศเมืองแกลงขึ้นและมีตอนที่กล่าวว่าผ่านอำเภอบางพลีในอดีตมีคนหนาแน่นตลาดน้ำบางพลีจึงถือได้ว่าเป็นตลาดน้ำประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งซึ่งมีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและมีวัฒนธรรมมากมายสมควรอนุรักษ์ฟื้นฟูให้เยาวชนรุ่นหลังได้ศึกษาและหวงแหนวัฒนธรรมเก่าแก่ของบรรพบุรุษสืบต่อไป

ตลาดน้ำบางพลี
นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจังหวัดสมุทรปราการฝั่งบางพลี ต้องไม่พลาดแวะเที่ยวในสามจุดสำคัญนี้ ปิดทองหัวใจพระที่วัดบางพลีใหญ่กลาง, กราบขอพรหลวงพ่อโตที่วัดบางพลีใหญ่ใน, จากนั้นใช้เวลาสัก 1 ชั่วโมงเดินมาท้ายวัดเลือกซื้ออาหารอร่อย ขนมหวาน หรือของฝากที่ตลาดน้ำโบราณบางพลี ชมวิถีชีวิตริมน้ำ ก่อนเดินทางกลับ

ระยะทางเกือบหนึ่งกิโลเมตร ตลอดแนวสองฝั่งทางเดินที่ขนานไปกับคลองสำโรงของตลาดน้ำโบราณบางพลี ถูกจับจองจากแม่ค้าพ่อค้าที่อาศัยอยู่มาแต่ดั้งเดิมจำหน่ายสินค้านานาชนิด ทั้งอาหารอร่อย ขนมหวาน ของใช้นานาชนิด ของตกแต่งบ้านเรือน ของฝาก ร้านเสริมสวย ร้านขายเสื้อผ้า ร้านขายสัตว์เลี้ยง ฯลฯ อิ่มตาด้วยทิวทัศน์ของคลองสำโรง ที่ประดับประดาไปด้วยเรือขายอาหาร ขนม ผลไม้ตามฤดูกาลของชาวบางพลีที่พายไปมา และเรือที่ชาวบ้านยังใช้สัญจรไปมาในชีวิตประจำวัน เดินเท้ามาถึงกลางตลาด ชาวชุมชนได้จัดเป็นนิทรรศการ “ภาพเก่าเล่าเรื่อง” จัดแสดงภาพถ่ายสมัยเก่าเมื่อเริ่มแรกตั้งตลาด และเครื่องมือเครื่องใช้ในการประกอบอาชีพการประมงและการเกษตร อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่นำมาจัดในนิทรรศการ ได้รับบริจาคมาจากคนเก่าคนแก่ ที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อครั้งอดีต และได้เก็บรักษาเป็นอย่างดี

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

โบสถ์แม่พระบังเกิด

โบสถ์แม่พระบังเกิด
ข้าง ๆ ตลาดบางนกแขวกตรงข้ามฝั่งคลอง เป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของคริสต์ชนนั่นก็คือ อาสนวิหารแม่พระบังเกิด หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "โบสถ์บางนกแขวก" เป็นโบสถ์คริสต์เก่าแก่อายุกว่า 100 ปี ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลอง มีทัศนียภาพสวยงาม สูงใหญ่อลังการ โดยเฉพาะช่วงเช้าหรือช่วงเย็นจะมีความงามเป็นพิเศษ

โบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่ใน "วัดแม่พระบังเกิด" หมู่ที่ 7 ตำบลบางนกแขวก อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2393 ส่วนอาสนวิหารได้ถูกสร้างขึ้นภายหลังในปี พ.ศ. 2433 (ค.ศ. 1890) โดยดำริของ บาทหลวงเปาโลซัลมอน มิชชันนารีชาวฝรั่งเศส ได้รับทุนสนับสนุนจากญาติพี่น้องของท่านในประเทศฝรั่งเศส คณะมิซซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส กรุงโรมและผู้ใจบุญในกรุงเทพฯใช้เวลาสร้างถึง 6 ปี

โบสถ์แม่พระบังเกิด
ตัววิหารเป็นศิลปะแบบโกธิคที่สร้างด้วยอิฐเผา ผนังฉาบด้วยปูนตำกับน้ำเชื่อมประสานจากอ้อยใสสีดำ ประดับตกแต่งด้วยกระจกสีชนิด Stain Glass จากฝรั่งเศส ในเรื่องราวของพระนางมารีย์พรหมจรรย์จากพระคัมภีร์ และภาพของนักบุญชายหญิงที่สวยงามมาก ภายในกว้างขวางและตกแต่งอย่างยิ่งใหญ่มโหฬาร ประดับด้วยภาพกระจกสีสวยงดงาม มีรูปปั้น ธรรมาสน์เทศน์ อ่างล้างบาป ขาเทียนลักษณะต่าง ๆ และรูปแกะสลักบรรยายเกร็ดประวัติ ในพระคัมภีร์คริสตศาสนา นับเป็นโบสถ์ที่มีความสวยงามไม่ไกลจากริมฝั่งแม่น้ำ

การเดินทาง
ไปตามเส้นทางสายสมุทรสงคราม-บางนกแขวก (เส้นทางเดียวกับอุทยาน ร.2) เข้าไปประมาณ 100 กิโลเมตร อาสนวิหารแม่พระบังเกิดอยู่เลยแยกสะพานสมเด็จพระอัมรินทร์ไปประมาณ 100 เมตร

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ตลาด 100 ปี สามชุก

ตลาด 100 ปี สามชุก
ตลาด 100 ปี สามชุก นับเป็นตลาดเก่าแก่อีกแห่งหนึ่ง ริมแม่น้ำสุพรรณบุรี (ท่าจีน) ที่ยังมีภาพบรรยากาศของบ้านเรือน รวมถึงวิถีชีวิตของผู้คนในอดีตให้เราได้ชม ในยุคสมัยที่ตลาดสามชุกเฟื่องฟู ชาวบ้านก็จะนำของพื้นเมือง มาแลกเปลี่ยนซื้อขายให้กับพ่อค้าชาวเรือ ต่อมาเมื่อบริเวณริมแม่น้ำสุพรรณบุรี มีการทำนากันมากขึ้น ตลาดสามชุกจึงกลายเป็นตลาดข้าวที่สำคัญ มีโรงสีไฟเกิดขึ้นหลายแห่ง การค้าขายเริ่มคึกคัก และมีการขยายพื้นที่เพิ่มขึ้น ทำให้ในแต่ละปี มีการเก็บภาษีได้เป็นจำนวนมาก และมีนายอากรคนแรก ชื่อ ขุนจำนง จีนารักษ์

ตลาดสามชุก
ภายหลังจากที่มีการตัดถนนผ่านสามชุก ส่งผลให้ตลาดสามชุกเริ่มซบเซาลง แต่ด้วยวิถีชีวิตของชุมชนตลาดสามชุก ที่ยังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเวลาจะผ่านมานับร้อยปี ชาวตลาดสามชุกจึงได้ร่วมกันปรับปรุง ฟื้นฟู สถาปัตยกรรมไม้ ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และแหล่งเรียนรู้สำหรับชุมชน วันนี้ตลาดสามชุก จึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และมีสิ่งน่าสนใจที่มีเสน่ห์อยู่มากมาย

บ้านขุนจำนง จีนารักษ์ นายภาษีอากรคนแรก และเจ้าของตลาดสามชุก ปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ของชุมชน บ้านหลังนี้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2459 เป็นบ้านไม้ขนาด 3 ชั้น มีการสร้างอย่างประณีตงดงาม แกะสลักไม้ด้วยลวดลายที่อ่อนช้อย ภายในมีรูปภาพเก่าๆ ที่บอกเล่าถึงความเป็นมาของชุมชนสามชุก รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้ ของผู้เป็นเจ้าของบ้าน เมื่อครั้งยังมีชีวิตให้ชมอีกด้วย

การเดินทาง สู่ตลาดสามชุก จากกรุงเทพฯ ผ่าน อ. บางบัวทอง จ. นนทบุรี ไปจนถึงตัว จ.สุพรรณบุรี ระยะทางประมาณ 107 กม. จากนั้นไปตามหลวงหมายเลข 340 แยกเข้า อ. สามชุก ตัวตลาดอยู่ริมแม่น้ำสุพรรณติดกับที่ว่าการอำเภอสามชุก
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ คณะกรรมการพัฒนาตลาดสามชุก โทร. 0-3557-2449, 0-3550-4498 และ 0-1640-3327

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

แมนชั่น เซเว่น (Mansion 7)

แมนชั่น 7 ถ.รัชดา
แมนชั่น เซเว่น (Mansion 7) ศูนย์การค้าและสถานพักผ่อนหย่อนใจแห่งใหม่ ภายใต้แนวคิด Boutique Thriller Mall และเจ้าของไอเดียเก๋ๆนี้ก็คือเจ้าของ "เพลินวาน" นั่นเอง ซึ่งได้ไอเดียแหวกแนวนี้มาจากบ้านผีสิงในต่างประเทศ ใครชอบความหลอนก็ลองไปได้เลย

แมนชั่น 7 ตั้งอยู่ริมถนนรัชดาภิเษก ซอย 14 ใกล้สี่แยกห้วยขวาง บูทีคมอลล์ อารมณ์หลอน แห่งแรกและแห่งเดียวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในไอเดียเก๋ เป็นอาคารทรงกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า สีม่วงทะมึน ที่ตกแต่งภายนอกเหมือนถูกห่อหุ้มด้วยเถาไม้เลื้อยกราฟฟิค ซุ้มประตูทางเข้าถูกออกแบบให้ดูคล้ายปีศาจโผล่พ้นดิน พร้อมรอการมาเยือนจากผู้ชอบความท้าทาย ความลึกลับ และความแปลกใหม่ เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้ผู้คนเข้าไปพิสูจน์ ศูนย์การค้าแนวระทึกขวัญแห่งนี้

Mansion7
ภายใน Mansion 7 จะแบ่งออกเป็น 3 โซนหลักๆ ด้วยกันได้แก่
1. Garden Area ในส่วนนี้จะอยู่ด้านหน้าตรงทางเข้า ประกอบด้วยร้านค้าแนวบูติค ร้านตกแต่งเล็บ ร้านเบเกอรี่ ไอศกรีม ฯลฯ ที่คัดเลือกมาให้เหมาะกับคนที่ชื่นชอบความแปลกใหม่ อีกทั้งยังตกแต่งบริเวณรอบๆ เหมือนกับสวนที่ถูกทิ้งร้างมานาน ช่วงสร้างบรรยากาศลึกลับให้กับสถานที่ได้เป็นอย่างดี

2. Playground Area โซนนี้จะมีเครื่องเล่นต่างๆ ที่ท้าทายความสามารถของผู้เล่นรวมถึงร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งใน Playground Area ก็จะมีลานกว้างที่อยู่ตรงกลาง สามารถมาเช่าจัดงานอีเวนท์ได้ด้วย

3. Dark Mansion บ้านผีสิงซึ่งมีประวัติอันชวนขนหัวลุกที่เป็นจุดเด่นของที่นี่ เพราะมีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาว่า เมื่อเ จ้าคุณรัชดา พิริยะโยธาเ จ้าของคฤหาสน์ ต้องสูญเสียบุตรีเพียงคนเดียว ที่สนามหน้าคฤหาสน์แห่งนี้ ในวันเลี้ยงฉลองวันเกิดครบรอบปีที่ 17 ของบุตรสาว นาม "ดาราราย" ที่ปัจจุบันคงเหลือไว้เพียงซากแห่งความอาลัยรัก และเสียงเพลงจากกล่องดนตรี ที่บิดาสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษ โดยเสียค่าเข้าชม 180 บาท

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง

ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง
ตลาดน้ำแห่งนี้เปิดขึ้นเมื่อต้นปี พ.ศ. 2547 ด้วยความร่วมมือขององค์การบริหารส่วนตำบลบางน้ำผึ้ง โดยต้องการพัฒนาให้ตลาดแห่งนี้เป็น สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งของ จ. สมุทรปราการ

ตลาดน้ำบางน้ำผึ้งตั้งอยู่ที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ถือว่าเป็นตลาดน้ำเพื่อสุขภาพอีกแห่งหนึ่ง เพราะนอกจากจะได้สัมผัสวิธีชีวิตริมน้ำของชาวพระประแดงแล้ว ก็ยังได้สัมผัสกับกิจกรรมทั้งในเรื่องของสุขภาพกาย และสุขภาพใจอีกด้วย เพราะว่าพ่อค้า แม่ค้า ที่นี่นอกจากจะเอาใจใส่เรื่องของคุณภาพของสินค้าแล้ว ก็ยังไม่ลืมที่จะใส่ภูมิปัญญาไทยๆ อย่างอาทิ สมุนไพรลงไปในสินค้า เมื่อบวกกับมิตรจิต มิตรใจ โอมอ้อมอารีของคนในชุมชนตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง ก็ถือเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของตลาดน้ำแห่งนี้

ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง
เสน่ห์ตลาดน้ำที่นี่ คือวิถีชีวิตชาวบ้านริมคลอง ส่วนใหญ่เป็นชาวไทย เชื้อสายมอญ น้ำในคลองยังสะอาด มีของพื้นบ้านอร่อย ๆ ที่ชาวบ้านทำมาขายเอง มีเรือพายขาย แต่สุดยอดของอร่อยที่นี่ คือ ห่อหมกหมู ที่ต้องมาแต่เช้าจึงจะได้ทาน เพราะมาบ่ายจะขายหมด นอกจากนี้ก็มีผลไม้จากสวนที่มีอยู่ทั่วไปสองฝั่งคลอง ผลไม้ขึ้นชื่อที่สุดของบางน้ำผึ้ง คือมะม่วงน้ำดอกไม้ และยังมีไม้ดอกไม้ประดับ สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เช่น ดอกไม้ประดิษฐ์ ไข่เค็มดินสอพอง บริเวณตลาดน้ำมีเรือพายให้บริการ ถ้าพายเป็นจะพายเองก็ได้ เสียค่าเช่าชั่วโมง นั่งเรือลัดเลาะชมพื้นที่สีเขียว 2 ฝั่งคลอง มีทั้งป่าจาก สวนมะม่วง และมะพร้าว มีบริการจักรยานให้เช่าด้วย

การเดินทาง
รถยนต์ส่วนตัว ลงทางด่วนพระราม 9 ไปตาม ถนนสุขสวัสดิ์ แล้วเลี้ยวซ้ายไปพระประแดง ขับมาเรื่อยๆ จนเจอร้าน "แว่นท็อปเจริญ" ให้เลี้ยวซ้ายเข้าไป แล้วขับตรงไปเรื่อยๆ ผ่านใต้สะพานวงแหวนอุตสาหกรรม ให้เลี้ยวขวาทางไป "บางกอบัว" ข้ามสะพาน จากนั้นก็ตรงไปอีกประมาณ 4 กม. ก็จะถึงทางเข้า "วัดบางน้ำผึ้งใน" ให้เลี้ยวขวาเข้าไปอีกประมาณ 600 เมตร ก็จะถึงตลาดน้ำ

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อุทยานสามก๊ก

อุทยานสามก๊ก พัทยา ชลบุรี
เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่งดงามด้วยสถาปัตยกรรมผสมผสานไทย-จีน ในเนื้อที่ 36 ไร่ ซึ่งริเริ่มขึ้นจากแนวคิดของ คุณเกียรติ ศรีเฟื่องฟุ้ง หนึ่งในนักธุรกิจเชื้อสายจีนที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย โดยคุณเกียรติมีเจตนารมณ์ที่จะสร้างสถานที่แห่งนี้ให้เปี่ยมไปด้วยคุณค่าของศิลปะ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและจีน เพื่อเป็นที่ศึกษาหาความรู้และดื่มด่ำกับความสวยงาม นอกจากนี้แล้ว คุณเกียรติยังตั้งเจตนารมณ์ที่จะใช้สถานที่แห่งนี้หารายได้เพื่อที่จะตอบแทนแก่สังคมและแผ่นดินไทยที่ท่านอาศัยใช้ชีวิตอยู่ มีการนำเสนอเรื่องราวของพงศาวดารจีนเรื่อง “สามก๊ก” ซึ่งคุณเกียรติได้ใช้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตจนประสพความสำเร็จ และข้อคิด คำสั่งสอนต่างๆที่คุณเกียรติได้ถ่ายทอดเอาไว้เมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เพื่อให้เป็นประโยชน์ในการศึกษาแก่อนุชนรุ่นหลัง ดำเนินการโดยมูลนิธิศรีเฟื่องฟุ้ง

อุทยานสามก๊ก จ.ชลบุรี
การออกแบบอุทยานสามก๊ก ทางสถาปัตยกรรม ภูมิสถาปัตย์ ผังบริเวณ และการตกแต่งภายใน เป็นการออกแบบเชิงศิลปะสถาปัตยกรรมด้วยศิลปกรรมแบบจีน ผสมผสานอย่างลงตัวกับเอกลักษณ์ศิลปกรรมแบบไทยประยุกต์ แสดงถึงความผูกพันที่คุณเกียรติมีต่อแผ่นดินทั้งสอง ภายในอุทยานสามก๊ก ประกอบด้วยอาคาร 5 ชั้น จัดแสดงภาพเขียนสีน้ำมันที่บันทึกเรื่องราวชีวิตของขงเบ้งและรูปปั้นกังไสตัวเอกจากพงศาวดารในวรรณกรรมสามก๊ก ชั้นบนสุดเป็นหอพระแก้วและจุดชมวิว มีอาคารประดิษฐานองค์พระโพธิสัตว์พระแม่กวนอิมสลักจากหินอ่อนสูง 4 เมตร รูปเทพเจ้ากวนอู และระเบียงจิตรกรรมซึ่งมีภาพวาดบนกระเบื้องเคลือบดินเผาบันทึกเรื่องราวตอนสำคัญของเรื่องสามก๊ก สร้างขึ้นตามหลักฮวงจุ้ยของจีน เปิดให้เข้าชมทุกวันเวลา 10.00–17.00 น

สถานที่ตั้ง กลางเมืองพัทยา
 

Travel around the world

Thai noodles and snacks

Statistic

Unseen Amazing Thailand Copyright © 2010 Blogger Template Sponsored by Trip and Travel Guide